Skip to main content

สรุปต้องเปลี่ยนเป็น D200 พร้อมเลนส์อีกชุดใหญ่ 

 

แค่ไม่กี่วัน ซื้อมาขายไป เวียนไปเวียนมา หมดไปสองแสน 

 

กลับบ้านแบบงงๆ เอามือคลำบนหัวเหมือนเขามันงอกได้ยังไงก็ไม่รู้ 

 

เพราะตอนเช้ามาถ่ายอีกทีภาพมันก็เบลอเหมือนเดิม 

 

 

ทีนี้เริ่มรู้ละ ที่ถ่ายไม่ได้ไม่ใช่เพราะกล้องละ เรานี่แหละถ่ายรูปไม่เป็น

 

ทีนี้เริ่มซื้อหนังสือถ่ายรูปที่มีในท้องตลาดเรียกว่ากว้านซื้อมันทุกเล่ม

ที่เป็นภาษาไทยนี่ยังไม่นับที่เป็นตำราเมืองนอกอีกด้วยนะ นั่งอ่านทุกเล่ม 

 

สรุปว่า งงมันตั้งแต่เรื่องรูรับแสง สปีด และอื่นๆ อีกมากมาย 

 

ทุกเล่มอธิบายดีมาก อ่านแล้วไม่เข้าใจ 

 

 

ลองโทรไปสมัครเรียนที่เค้าเปิดสอน แต่ขอเป็นคอร์สที่เป็นส่วนตัว

เน้นเรื่องถ่ายเด็กโดยไม่ใช้แฟลช ทุกที่บอกว่าต้องเรียนเบสิคก่อน

ไอ้เราก็ดื้อ ถือว่ามีเงินก็เอาแต่ใจ จะเรียนแบบที่เราต้องการ 

 

อาจารย์แต่ละท่านก็ไม่ยอมรับสอน 

 

สุดท้ายเราก็ดื้อ เริ่มฝึกเอง และเริ่มถามพี่ๆ น้องๆ ที่เป็นช่างภาพ 

 

คนที่ทำให้ป้าชูมีจุดยืนในการถ่ายภาพสไตล์นี้คือน้องโย 

 

เค้าเป็นคนบอกว่า ถ้าถ่ายเด็กแล้ววัดแสงแบบแมนนวลและ

ไม่ใช้แฟลชได้ถือว่าเป็นยอดฝีมือ 

 

แค่นั้นแหละ ในหัวไม่คิดแล้วว่าถ่ายสวยเป็นยังไงรู้อย่างเดียว

ถ่ายยังไงก็ได้ห้ามใช้แฟลชเพราะคำๆ เดียว "ยอดฝีมือ" 

 

 

แต่การได้เป็นยอดฝีมือมันไม่ง่ายเหมือนที่คิดเลย 

 

แค่ถ่ายเจไดให้อยู่ในภาพยังลำบากเลย พอเจไดอยู่ในภาพ 

ก็ดันไม่ชัด 

 

ด้วยนิสัยที่ดื้อไม่ยอมแพ้เป็นทุนเดิม ที่สำคัญกลัวโดนเมียด่า 

เสียเงินไปสองแสนกว่าแต่ผ่านมาเป็นเดือนแล้วยังถ่ายรูปไม่ได้เรื่อง 

 

อายมาก เลยต้องฝึกทำมันทุกวัน 

 

แบกหนังสือกล้องไปอ่านทุกวันค่อยๆ ทำความเข้าใจไปทีละส่วนๆ 

เริ่มจากการทำซ้ำๆ ในที่ๆ เดิม เวลาเดิมๆ แอคชั่นเดิมๆ 

 

เวลาเราทำอะไรซ้ำๆ บ่อยๆ เราจะเริ่มชิน เริ่มเดาทางของเจไดได้ว่า 

จากมุมนี้แล้วจะหนีไปมุมไหน 

 

ภาพเจไดเริ่มอยู่ในเฟรมบ่อยขึ้น จน จับภาพเจไดได้ทุกครั้ง

จากภาพไม่ค่อยชัดก็เริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ จากแสงที่ถ่ายไม่ค่อยได้

ก็เริ่มถ่ายได้ จากภาพที่ไม่สวยเลยเริ่มดูได้และเริ่มสวยขึ้นตามลำดับ 

 

และที่สำคัญ ภาพเกือบทุกภาพมันเป็นภาพซ้ำๆ มุมเดิมๆ 

ที่เริ่มสวยขึ้นทุกวันๆ จนวันนึงแค่ยกกล้องก็รู้แล้วว่าจะกดชัตเตอร์

ยังไงให้มันสวย 

 

และนั่นคือที่มาของป้าชูสไตล์ในวันนี้